การเดินทางไกลดูเหมือนจะราบรื่นไปทุก ๆ อย่าง ทั้งมีเจ้าหน้าที่พาไปตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่าแบบวีไอพีไม่ต้องรอต่อแถวให้เสียเวลา ขึ้นไปบนเครื่องเจอพนักงานคนไทยยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ สองคนก็ขอย้ายไปนั่งที่อื่น เหลือที่นั่งสามที่ให้ผมจับจองคนเดียว จะเลื่อนก้นมานั่งริมหน้าต่างก็ได้ หรือเดินออกไปเข้าห้องน้ำก็สะดวก แถมเวลานอนก็อุปโลกน์ที่นั่งสามที่เป็นเตียงไปเลยก็ยังได้ แต่อุปสรรคที่เกิดขึ้นก็คือ ผมนอนไม่หลับ!! เวลาสิบสองชั่วโมงครึ่งบนเครื่องบิน TG940 ลำนี้ ผมทำได้เพียงเอาหูฟังเอ็มพี่สามยัดหูแล้วหลับตา แต่นอนไม่หลับตลอดการเดินทางไปจนถึงสนามบินมัลเปนซ่า ประมาณเจ็ดนาฬิกาสิบนาที จัดแจงเรื่องเอกสารและกระเป๋า ออกมาเจอภราดาสวมชุดกาปูชินสีน้ำตาลรอรับอยู่แล้ว ถามชื่อได้ว่า ภราดาอันดีอา พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมจึงนั่งนิ่ง ๆ มาในรถเฟียตสีขาว พูดคุยกันบ้างเป็นระยะ ๆ แบบเดา ๆ เอา การจราจรค่อนข้างติดขัดเพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน
ประมาณห้าสิบนาที รถเฟียตพาผมมาถึงอารามกาปูชินชานเมืองมิลาน ผมลงจากรถเดินเข้าไปสู่ความมืดทึบของชั้นใต้ดินที่ดูน่ากลัวเหมือนคุกหรือไม่ก็ปราสาทผีสิง ขึ้นลิฟท์แล้วโผล่มาที่ห้องดื่มกาแฟ (ได้ไงไม่รู้???) ดื่มนมร้อน ๆ หนึ่งถ้วย แล้วภราดาอีกสองคนก็ช่วยกันพาผมขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัว ดูเหมือนทางเดินที่วกไปวนมา ขึ้นลิฟท์ลงลิฟท์และมาโผล่ที่หน้าห้องพักหมายเลขสามสิบห้า ห้องขนาดกระทัดรัดที่มีเตียงเล็ก ๆ แต่ฟูกนุ่มมาก ๆ อย่างไม่แน่ใจว่าจะหลับได้ กับโต๊ะทำงาน อ่านหนังสือที่กว้างขวางและชั้นวางหนังสือที่สูงเกือบติดเพดาน ผมใช้เวลาทั้งวันจัดข้าวของสัมภาระที่หอบมาจากประเทศไทย โทรศัพท์จากเพื่อนพระสงฆ์ดังขึ้นมาทักทายสลับกันไป พ่อต๊ะ พ่อสุพัฒน์ และพี่บำรุง วันแรกในมิลานเช่นวันนี้ ได้รับกำลังใจอย่างมากมายจากเสียงโทรศัพท์เหล่านี้นั่นเอง!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น