ไม่มีชื่อไหนที่เหมาะสมไปมากกว่าชื่อ "สุวรรณภูมิ" อีกแล้ว เวลาสามทุ่มกว่าที่รถตู้ของโรงเรียนดรุณาราชบุรีวิเทศศึกษาพาพวกเราซึ่งประกอบไปด้วยคุณพ่อไพศาล พ่อกบ พ่อเกรียง ผมและสัมภาระหอบใหญ่ ๆ มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ความรู้สึกในตอนนี้ ต้องยอมรับอย่างไม่อายว่า "เฉย ๆ อย่างประหลาด" มันอึ้ง ๆ เหมือนช่วงเวลาจะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ คือมีสติสัมปะชัญญะ มีความสำนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำ แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือใจเต้นระรัว มือไม้สั่นอะไรประมาณนั้น อาจเพราะผมมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมาตลอดหนึ่งเทอม เมื่อตอนที่มาส่งเพื่อนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศษเมื่อต้นเทอมยังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้ เมื่อมาถึงก็พบกับบรรดาแฟนคลับ (555+) ที่มารอส่งอยู่แล้ว ผมเข้าไปจัดการเช็คอินสัมภาระ คุณครูวัลภาแห่งโรงเรียนพระมารดาฯ ใจดีช่วยดำเนินการขอเพิ่มน้ำหนักกระเป๋าเป็นห้าสิบกิโลกรัม ปรากฏว่ากระเป๋าใบแรกหนักยี่สิบเก้าจุดหก (หนึ่งใบห้ามเกินสามสิบ) ใบที่สองหนักสิบหกจุดแปด รวมทั้งสองใบเป็นสี่สิบหกจุดสี่กิโลกรัม...เกือบไป!!! สักครู่พี่สาวเดินมาหา เอาพวงมาลัยกรมาให้ ผมค่อย ๆ เดินไปอีกฟาก พบพ่อแม่ ลุง ป้า พี่ชาย น้องชาย ภรรยาและหลานมานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว คุณพ่ออั้นพาเจ้าหน้าที่ศูนย์คำสอนมาด้วยอีกสี่ห้าคน มีตัวแทนเพื่อนพระสงฆ์จากแสงธรรมมาส่งอีกสี่คน รวมด้วยสายตาน่าจะเกือบสามสิบคนเห็นจะได้ เป็นงานชุมนุมที่ใหญ่พอสมควร เราทักทายและถ่ายรูปกันอย่างไม่รอให้เสียเวลา เป็นที่ระลึกในวันโบกมือลาจากกันเพียงชั่วคราว ดีใจที่ไม่มีใครต้องเสียน้ำตา อย่างน้อยก็ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะนั่นอาจทำให้ผมอาจต้องหลั่งน้ำตาตามไปด้วย ที่ดีใจที่สุดคงเป็นโอกาสที่ได้กอดลาพ่อแม่พี่น้อง และโบกมือลากันด้วยบรรยากาศของความสุขใจ การส่งกำลังใจและความหวังดี ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจที่มีให้กันมาตลอดบนเส้นทางของชีวิต สัมผัสได้จริง ๆ ว่าพระรักผมมากเพียงใด....สวัสดีครับ และพบกันใหม่สักวันหนึ่ง!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น