วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

8_ไปโรงเรียนวันแรก

วันจันทร์ที่สิบสอง หลังจากผมปะ ฉะ ดะกับอาหารกลางวันเวลาเที่ยงครึ่งเสร็จ แม้ในห้องอาหารตอนนี้ผมทำได้เพียงนั่งยิ้ม จ้องมองคนนั้นคนนี้พูดคุยกัน หัวเราะใส่กันข้ามหัวไปข้ามหัวมา แล้วก็จิ้มอาหารตรงหน้าใส่ปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม เคี้ยวเอื้องไปพลางมองคนนั้นคนนี้ไปอย่างอัดอั้นตันใจบ้าง  แต่ผมก็แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าสักวัน ผมจะพูดอิตาเลียนให้ได้เหมือนพวกเขา หวังสูงไปหรือเปล่า...ผมก็ไม่แน่ใจ แต่แน่ใจว่าคนชอบพูด(มาก)อย่างผม อยู่แบบคนใบ้อย่างนี้ไม่ได้ ชีวิตมันเหี่ยวเฉา และนี่จึงเป็นแรงผลักดันเล็ก ๆ ให้ผมพยายามฝึกฝนภาษาอิตาเลียน แม้ว่าพัฒนาการกำลังค่อยเป็นค่อยไปอย่างเชื่องช้ายิ่งกว่าเต่าคลานก็ตาม
บ่ายโมงกว่าแล้ว ผมช่วยภราดาเก็บจานเก็บแก้วน้ำ แล้วรีบแทรกกายผ่านประตูอารามออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่กักเก็บความเย็นไว้แบบอิ่มตัวที่ภายนอก ก่อนเดินลงสถานีรถไฟใต้ดิน สอดบัตรที่ยังเหลือโควต้าอีกแปดครั้ง แล้วผ่านที่กั้นไปยืนรอรถไฟสายที่สิ้นสุดที่ Sesto อะไรสักอย่าง รถไฟมาจอดนิ่งตรงหน้าแล้ว ผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนปะปนกับนักเดินทางหลากหลายสายพันธุ์บนรถ  ที่บอกว่าสายพันธุ์ ผมหมายถึงหลากหลายที่มา หลากหลายที่ไป หลากหลายอารมณ์ความรู้สึก สีผิว ไสตล์การแต่งตัว อายุ วรรณะ สุขะ พละ (เริ่มมั่วแล้ว)  สถานีที่ผมต้องลงคือสถานีดูโอโม่ ใช้เวลาจากสถานีกัมบาร่า ที่อารามตั้งอยู่ไปไม่ถึงสิบหรือสิบห้านาที  รถไฟมาถึงสถานีดูโอโมแล้ว นักเดินทางลงจากรถไฟเยอะเหมือนอย่างเคย เราทุกคนต่างย่างเท้าอย่างรีบเร่งแข่งกับลมหายใจที่สูญเสียไปในอากาศที่หนาวเย็นในความรู้สึกของผม  อาสนวิหารหลังงาม ใหญ่โต โอ่อ่า ตระการตา ตั้งอยู่เบื้องหน้าผมเหมือนอย่างวันแรกที่เห็น ตำรวจท้องถิ่นยืนคุมตรวจตราผู้เข้าเยี่ยมเหมือนเคย ผมตั้งใจว่าทุกวันก่อนถึงเวลาเรียน ผมต้องมาสวดภาวนาที่นี่สักสิบห้าหรือยี่สิบนาทีรวมกับการเดินชมความสวยงามด้วย
และวันนี้ก็เป็นวันที่สองที่ผมทำสำเร็จ เบื้องหน้าผมคือพระแท่นรูปพระทรมานของพระเยซูเจ้าบนกางเขน ผมสวดภาวนาขอพรสำหรับประเทศไทย พระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชินี สังฆมณฑลราชบุรี คณะสงฆ์ราชบุรี พระสังฆราช พ่อแม่พี่น้อง ผู้มีพระคุณและผู้ที่ต้องการคำภาวนา เป็นเช่นนี้เสมอไป ก่อนจะเดินไปทั่ว ๆ อาสนิหาร  เหลือเวลาอีกประมาณสิบนาที ผมแสดงความเคารพและเปิดประตูออกไปปะปนกับนักเดินทางมากมายเพื่อมุ่งสู่ห้องเรียนขอผมเป็นวันแรก


7_ตะลุยร้านอาหารจีน

หลังจากที่เราขึ้นสถานีนั้น ออกสถานีนี้ พี่บำรุงเชิญชวนให้ผมไปยืนตากฝนอยู่หน้าปราสาทหลังงามกับน้ำพุสวย ๆ  เพื่อถ่ายรูป แต่รู้สึกเธอจะให้ความสำคัญกับการถ่ายรูปมาก ๆ จริง ๆ แล้วเธอให้ความสำคัญกับการเอารูปสวยสุด ๆ ในความรู้สึกของเธอลงเฟสบุ๊คโชว์เพื่อน ๆ มากกว่า  ผมให้เธอเก็บภาพของผมและเมื่อผมจะถ่ายรุปเธอบ้างเธอก็กำชับว่า "ถ่ายสวย ๆ เลยนะพ่อ...เอาให้สวยเลยนะพ่อ"
จากนั้นเราพากันไปเลือกซื้อเสื้อผ้ากันหนาวที่ร้านขายอุปกรณ์กันหนาวที่ราคาไม่แพงนัก ปรากฏว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาทีที่เราได้จองที่นั่งในร้านอาหารจีนแบบบุฟเฟ่เอาไว้ พี่บำรุงตั้งใจจะพาผมไปชมอีกแห่ง แต่เวลาไม่พอ เราจึงตรงไปที่ร้านอาหารจีนกันเลย ร้านนี้มีชื่อเก๋ไก๋ว่า XIER คำว่า เซียะ ในภาษาจีนน่าจะมีความหมายอะไรสักอย่างที่เป็นมงคล เดี๋ยวเอาไว้ผมจะไปค้นหาทีหลัง แต่ตอนนี้ขอตั้งหน้าตั้งตากิน ๆ ๆ ก่อน
เมื่อไปถึง พี่บำรุงแนะนำให้ผมรู้จักกับสองสาวไทยที่คนหนึ่งชื่อ "อั้ม" พี่บำรุงแนะนำว่าเป็นลูกสาวของเพื่อนของพระคุณเจ้าสิริพงษ์ สมัยที่ท่านเดินทางศึกษาต่อด้านจริยศาสตร์ที่โรม เราแนะนำตัวกันจนรู้ว่า เราอายุเท่ากันเพราะเกิดปีเดียวกัน และตอนนี้เธอทำงานเสิร์ฟอยู่ที่ร้านอาหารไทยชื่อ "บุษราคัม" และเธอมีสามีแล้ว ส่วนอีกคนเป็นญาติผู้พี่ของอั้ม ผมต้องขอโทษเธอที่จำชื่อเธอไม่ได้ แต่อีกไม่นาน ผมจะได้ไปเยี่ยมบ้านเธอซึ่งอยู่เหนือสุดติดกับชายแดนประเทศฝรั่งเศษ และติดกับทะเล เธอหนีบชายร่างบึกบึนสัญชาติอิตาเลียนมาด้วยหนึ่งคน  พี่บำรุงแนะนำว่าเป็นแฟนของเธอแต่มาเฉลยในภายหลังว่าเป็นแฟนใหม่ หลังจากที่สามีเก่าเสียชีวิตไปแล้ว....เราสนใจชีวประวัติกันแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะอาหารหลากชนิดรอเราอยู่ ผมเลือกชิมสเตกเนื้อหมู ไก่และปลา น้ำซุปข้น ๆ ยำสาหร่าย ผัดเส้นหมี่ และที่หน้าตาแปลกแต่เรียกชื่อไม่ถูกอีกหลายอย่าง และตบท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียว เพื่อประชดชีวิตในความหนาวเย็นด้านนอก....หลังจากมื้ออาหารจบสิ้น พี่บำรุง อั้มและผมพากันไปส่งคู้รักใหม่เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่สถานีรถไฟ  จากนั้นก็พาผมเดินไปจัดการเรื่องซิมโทรศัพท์และไอแพด ก่อนจะไปแวะซื้ออาหารและเครื่องปรุงแบบไทยที่ร้านขายของชาวจีน เห็นเธอสอยมาม่ามาเต็มตะกร้า  สิ้นสุดชั่วโมงบินของวันนี้ ท้องฟ้ามืดไปหมดแล้ว ใจผมหวั่นหวาดด้วยไม่อยากกลับเข้าอารามค่ำมืด แต่จริง ๆ ต้องบอกว่าเพียงหนึ่งทุ่มเท่านั้น  พี่บำรุงและอั้มส่งผมขึ้นรถไฟใต้ดินและเราก็โบกมือลากันตรงนั้น ผมแอบยิ้มให้กับวันนี้ที่สองขาได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูอารามกลับเข้าไปหายใจต่อในรั้วกำแพงสี่เหลี่ยมที่มีความอบอุ่นรออยู่


 

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

6_ภาพหลอกตา ภาษากระแทกใจ

พี่บำรุง คือสตรีนางหนึ่งที่มาทำงานในประเทศอิตาลีจนได้สามีเป็นชาวอิตาเลียน พี่บำรุงอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งในมิลาน  ผมเห็นชื่อพี่บำรุงครั้งแรกในเฟสบุ๊ค เธอเข้ามาแสดงความเห็นให้กับรูปภาพหรือประเด็นใดประเด็นหนึ่งของผม โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้ว่าผมกำลังจะเดินทางไปอิตาลี เธอก็หาโอกาสติดต่อพูดคุยกับผมบ้างจากการแนะนำของคุณพ่อสุพัฒน์และไหว้วานให้ผมเป็นธุระให้กับเธอเรื่องหนึ่ง  วันที่ผมเดินทาง พี่บำรุงโทรหาผมหลายครั้งพร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ของเธอในอิตาลีแล้วว่า "เมื่อลงเครื่องที่สนามบินก็ให้โทรหาเธอ หรือหากมีปัญหาอะไรก็โทรหาได้"
วันนี้เป็นวันเสาร์ และเป็นวันที่พี่บำรุงนัดเจอผม เธอจะพาไปหาซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างและที่สำคัญ เมนูอาหารจีนรอเราอยู่ แต่สารภาพว่าผมรู้สึกดีใจที่จะได้ชิมอาหารจีนแต่ก้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ต้องอาหารไทยสิ ผมจึงจะเนื้อเต้น..แข้งขาสั่น ปากสั่น!!! 
เรานัดกันประมาณสิบเอ็ดโมง แต่ปรากฏว่าเราเดินสวนกันบริเวณริมทางจากอารามไปสถานีรถไฟใต้ดิน ฝนค่อย ๆ ลงเม็ดอย่างเชื่องช้า เราต่างคนต่างเดินกางร่ม แต่เธอเพียงชายตามองมาที่ผมแล้วเดินผ่านเลยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเห็นหน้าเธอได้แต่รับรู้ว่าหญิงวัยกลางคนที่เดินผ่านไปเป็นคนเอเชีย  สักครู่ผมโทรหาเธอ บอกว่ามารอที่สถานีแล้ว เธอเดินย้อนกลับมา หลังจากทำความเคารพกันเธอสารภาพว่า เห็นผมในรูปถ่ายที่ยืนโดดเด่นข้างหน้าดูโอโมแห่งมิลาน เข้าใจไปเองว่าตัวสูงและผอม(และอาจดูดี)กว่านี้ พี่บำรุงทำผมเอ๋ออยู่เงียบ ๆ ในใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอตัวจริงของกัน
วันนี้ พี่บำรุงเป็นไกด์นำทางผมไปแวะชมสถานที่นั่น สถานที่นี่ เท่าที่เธอคิดว่ามันสวยงามแล้วอยากให้พ่อได้ชม ทั้ง ๆ ที่ฝนพรำเม็ดอยู่อย่างนั้น ผมนึกชื่นชมในความกระตือรือร้นของเธอ แม้สิ่งนี้จะทำให้เธอดูเหมือนต้องใช้พละกำลังมากขึ้นกว่าเดิมอีกสิบเท่าก็ตาม และผมก็จำเป็นต้องปรบมือให้กับความแกร่งของเธอในวันนี้!!! 


วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

5_เยี่ยมอาสนวิหารแห่งมิลาน

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2012 ผมมีนัดกับทางโรงเรียนสอนภาษาให้ไปรายงานตัวและสัมภาษณ์  ผมบอกกับภราดารอเลนโซคนที่ช่วยผมแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาบนห้อง  รอเลนโซพูดภาษาอังกฤษได้  เพราะเหตุนี้ล่ะมั้ง  เขาจึงรู้สึกว่าควรช่วยแนะนำสมาชิกใหม่อย่างผมให้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรก่อน  ซึ่งผมรู้สึกซาบซึ้งในความใจดีของเขามาก ๆ  จากที่พ่อต๊ะแนะนำสารพัดสิ่งให้ผมทางโทรศัพท์ ผมจึงบอกรอเลนโซว่า  วันนี้จะลองขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่โรงเรียนเอง (แล้วโทรถามพ่อต๊ะเป็นระยะ)  แต่รอเลนโซคงกลัวผมจะหลงทางซะมากกว่า เลยอาสาจะพาไปขึ้นรถไฟใต้ดินและจะเลยไปหาซื้อหนังสือด้วย ผมขอบคุณเขาและเวลาเก้าโมงครึ่ง ผมก็ออกผจญภัยนอกรั้วอารามกาปูชินเป็นครั้งแรก โดยมีรอเลนโซเป็นผู้นำทาง(ชีวิต)  เราขึ้นรถไฟใต้ดินที่มุ่งหน้าไป SESTO ไปลงสถานี DUOMO

ผมโผล่ออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินก็ต้องอัศจรรย์ใจกับภาพตรงหน้า เป็นความอลังการของอาสนวิหารแห่งมิลาน สไตล์โกธิกที่ยอมรับกันว่าเป็นอาสนวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสวยงามไม่ต้องพูดถึง  รอเลนโซพาผมไปถ่ายรูปหน้าอาสนวิหารและเข้าไปเยี่ยมชมด้านใน เราเดินผ่านตำรวจท้องถิ่นที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าสี่ห้าคน  นักท่องเที่ยวค่อย ๆ ทยอยกันเข้าไปชมความงดงามเป็นระยะ เมื่อผมเข้าไปด้านใน สถาปัตยกรรม รูปปั้นนักบุญ ภาพวาดขนาดใหญ่และศิลปกรรมต่าง ๆ ดึงดูดให้ผมและเชื่อว่าทุกคนที่เข้ามาชม ต้องรู้สึกทึ่งในความอัศจรรย์แห่งฝีมือมนุษย์ซึ่งสะท้อนพระพลานุภาพของพระเจ้าเช่นกัน  บรรยากาศในอาสนวิหารชวนศรัทธาแม้จะมีผู้เยี่ยมชนเดินกันขวักไขว่  เบื้องหน้าแท่นแม่พระและกางเขนของพระเยซูเจ้า แสงเทียนวับวาวถูกจุดขึ้นเป็นแถวเรียงราย ผมเดินเข้าไปถวายความเคารพยังด้านใน ก่อนจะเดินถ่ายภาพไปทั่ว ๆ อาสนวิหาร พลางประหลาดใจในความสวยงามที่ถูกบรรจงประดับประดาอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทั่วทั้งอาสนวิหาร  ขอบคุณพระที่ให้ผมได้มาเห็นอีกหนึ่งความสวยงามบนโลกใบนี้!!!


4_วันแรกในมิลาน

การเดินทางไกลดูเหมือนจะราบรื่นไปทุก ๆ อย่าง  ทั้งมีเจ้าหน้าที่พาไปตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่าแบบวีไอพีไม่ต้องรอต่อแถวให้เสียเวลา  ขึ้นไปบนเครื่องเจอพนักงานคนไทยยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ สองคนก็ขอย้ายไปนั่งที่อื่น เหลือที่นั่งสามที่ให้ผมจับจองคนเดียว  จะเลื่อนก้นมานั่งริมหน้าต่างก็ได้ หรือเดินออกไปเข้าห้องน้ำก็สะดวก  แถมเวลานอนก็อุปโลกน์ที่นั่งสามที่เป็นเตียงไปเลยก็ยังได้  แต่อุปสรรคที่เกิดขึ้นก็คือ ผมนอนไม่หลับ!!  เวลาสิบสองชั่วโมงครึ่งบนเครื่องบิน TG940 ลำนี้  ผมทำได้เพียงเอาหูฟังเอ็มพี่สามยัดหูแล้วหลับตา แต่นอนไม่หลับตลอดการเดินทางไปจนถึงสนามบินมัลเปนซ่า ประมาณเจ็ดนาฬิกาสิบนาที  จัดแจงเรื่องเอกสารและกระเป๋า ออกมาเจอภราดาสวมชุดกาปูชินสีน้ำตาลรอรับอยู่แล้ว  ถามชื่อได้ว่า ภราดาอันดีอา  พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ผมจึงนั่งนิ่ง ๆ มาในรถเฟียตสีขาว พูดคุยกันบ้างเป็นระยะ ๆ แบบเดา ๆ เอา การจราจรค่อนข้างติดขัดเพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน
ประมาณห้าสิบนาที รถเฟียตพาผมมาถึงอารามกาปูชินชานเมืองมิลาน ผมลงจากรถเดินเข้าไปสู่ความมืดทึบของชั้นใต้ดินที่ดูน่ากลัวเหมือนคุกหรือไม่ก็ปราสาทผีสิง ขึ้นลิฟท์แล้วโผล่มาที่ห้องดื่มกาแฟ (ได้ไงไม่รู้???)  ดื่มนมร้อน ๆ หนึ่งถ้วย  แล้วภราดาอีกสองคนก็ช่วยกันพาผมขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัว  ดูเหมือนทางเดินที่วกไปวนมา ขึ้นลิฟท์ลงลิฟท์และมาโผล่ที่หน้าห้องพักหมายเลขสามสิบห้า ห้องขนาดกระทัดรัดที่มีเตียงเล็ก ๆ แต่ฟูกนุ่มมาก ๆ อย่างไม่แน่ใจว่าจะหลับได้ กับโต๊ะทำงาน อ่านหนังสือที่กว้างขวางและชั้นวางหนังสือที่สูงเกือบติดเพดาน  ผมใช้เวลาทั้งวันจัดข้าวของสัมภาระที่หอบมาจากประเทศไทย  โทรศัพท์จากเพื่อนพระสงฆ์ดังขึ้นมาทักทายสลับกันไป  พ่อต๊ะ พ่อสุพัฒน์ และพี่บำรุง  วันแรกในมิลานเช่นวันนี้  ได้รับกำลังใจอย่างมากมายจากเสียงโทรศัพท์เหล่านี้นั่นเอง!!


3_สุวรรณภูมิ



ไม่มีชื่อไหนที่เหมาะสมไปมากกว่าชื่อ "สุวรรณภูมิ" อีกแล้ว  เวลาสามทุ่มกว่าที่รถตู้ของโรงเรียนดรุณาราชบุรีวิเทศศึกษาพาพวกเราซึ่งประกอบไปด้วยคุณพ่อไพศาล พ่อกบ พ่อเกรียง ผมและสัมภาระหอบใหญ่ ๆ มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ความรู้สึกในตอนนี้ ต้องยอมรับอย่างไม่อายว่า "เฉย ๆ อย่างประหลาด"  มันอึ้ง ๆ เหมือนช่วงเวลาจะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์  คือมีสติสัมปะชัญญะ มีความสำนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำ แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือใจเต้นระรัว มือไม้สั่นอะไรประมาณนั้น  อาจเพราะผมมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมาตลอดหนึ่งเทอม  เมื่อตอนที่มาส่งเพื่อนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศษเมื่อต้นเทอมยังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้  เมื่อมาถึงก็พบกับบรรดาแฟนคลับ (555+)  ที่มารอส่งอยู่แล้ว ผมเข้าไปจัดการเช็คอินสัมภาระ คุณครูวัลภาแห่งโรงเรียนพระมารดาฯ ใจดีช่วยดำเนินการขอเพิ่มน้ำหนักกระเป๋าเป็นห้าสิบกิโลกรัม ปรากฏว่ากระเป๋าใบแรกหนักยี่สิบเก้าจุดหก (หนึ่งใบห้ามเกินสามสิบ) ใบที่สองหนักสิบหกจุดแปด รวมทั้งสองใบเป็นสี่สิบหกจุดสี่กิโลกรัม...เกือบไป!!!  สักครู่พี่สาวเดินมาหา เอาพวงมาลัยกรมาให้  ผมค่อย ๆ เดินไปอีกฟาก พบพ่อแม่ ลุง ป้า พี่ชาย น้องชาย ภรรยาและหลานมานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว คุณพ่ออั้นพาเจ้าหน้าที่ศูนย์คำสอนมาด้วยอีกสี่ห้าคน มีตัวแทนเพื่อนพระสงฆ์จากแสงธรรมมาส่งอีกสี่คน  รวมด้วยสายตาน่าจะเกือบสามสิบคนเห็นจะได้ เป็นงานชุมนุมที่ใหญ่พอสมควร เราทักทายและถ่ายรูปกันอย่างไม่รอให้เสียเวลา เป็นที่ระลึกในวันโบกมือลาจากกันเพียงชั่วคราว  ดีใจที่ไม่มีใครต้องเสียน้ำตา อย่างน้อยก็ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะนั่นอาจทำให้ผมอาจต้องหลั่งน้ำตาตามไปด้วย  ที่ดีใจที่สุดคงเป็นโอกาสที่ได้กอดลาพ่อแม่พี่น้อง และโบกมือลากันด้วยบรรยากาศของความสุขใจ การส่งกำลังใจและความหวังดี  ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจที่มีให้กันมาตลอดบนเส้นทางของชีวิต  สัมผัสได้จริง ๆ ว่าพระรักผมมากเพียงใด....สวัสดีครับ และพบกันใหม่สักวันหนึ่ง!!!  


2_ปัจฉิมโอวาท

วันนี้เป็นวันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2012 เวลาเดินทางใกล้จะมาถึงแล้ว  แต่ผมมีนัดกับพระคุณเจ้าปัญญาเวลาสี่โมงครึ่งในตอนบ่าย  ก่อนที่จะออกเดินทางจากราชบุรีเวลาหนึ่งทุ่มตรง  ทำไมวันนี้ เวลามันเดินเร็วจริง ๆ ในความรู้สึกของผม ผมเดินออกจากห้องพักไปนั่งรอพระคุณเจ้าที่สำนักพระสังฆราช ประมาณยี่สิบนาที  จึงได้พบพระคุณเจ้า  ปัจฉิมโอวาทในเย็นวันนั้น  พระคุณเจ้าให้ไว้ว่า ".....เมื่อมาถึง ณ เวลานี้ ต้องขอบคุณพระสำหรับชีวิตที่ผ่านมา การเป็นสงฆ์ในวันนี้ เริ่มต้นมาจากประวัติศาสตร์ในชีวิตของโจ ตั้งแต่ก๋ง ย่า พ่อ แม่ ฯลฯ  ทุก ๆ คนมีส่วนร่วมในการหล่อหลอมให้โจดำเนินมาถึงวันนี้  และขอบคุณพระที่โจเป็นพระสงฆ์ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน  ทั้งสติปัญญา  ดนตรี  ความประพฤติ และสุขภาพ ต่อไปจะได้มาช่วยงานในพระศาสนจักรของเรา   แม้ว่าโจจะเดินทางไปศึกษาต่อก็จริง  แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการหล่อเลี้ยงชีวิตสงฆ์ให้เข้มแข็งทุก ๆ วัน  การศึกษาเป็นเหมือนเครื่องมือเท่านั้น  แต่ชีวิตสงฆ์สำคัญกว่า เมื่อไปถึงอิตาลีก็ควรเริ่มต้นหล่อเลี้ยงชีวิตสงฆ์ให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ  และให้มีความสำนึกรักพระศาสนจักรของเรา...."  ปัจฉิมโอวาท ณ ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ฝากรอยจารึกไว้ในหัวใจของผม  แน่นอน การศึกษาเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ทำอย่างไรให้ชีวิตสงฆ์ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้น....ถือเป็นบททดสอบที่ท้าทายผมมากกว่า  ขอบคุณครับพระคุณเจ้า ผมจะจดจำคำสอนนี้ให้ขึ้นใจ  และผมรักสังฆมณฑลราชบุรีของผม...ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม!!!


1_เปิดสมุดบันทึก

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2012 ผมมีนัดกับคุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์ เพื่อขอรับศีลอภัยบาป ก่อนการเดินทางไกล เวลาเก้านาฬิกา คุณพ่อเดินเข้ามาในวัดน้อยบ้านพักพระสงฆ์  และเข้าประจำที่ฟังแก้บาป  ผมนั่งเฝ้าศีลอยู่ก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปสารภาพกับท่าน คำสอนของท่านในวันนี้ ก็เหมือนกับชีวิตของท่าน ผ่านความเคลื่อนไหวในชีวิตมายาวนาน ผ่านโลก ผ่านผู้คน ผ่านเรื่องราวและการเดินทางฝ่ายจิตมานานนัก ท่านสอนผมจากอีกฝั่งของแผงแก้บาปว่า ".......พระเจ้ารักผู้ใดมาก ก็จะให้ผู้นั้นพบเจอกับความทุกข์ยากมากกว่าผู้อื่น  ดูตัวอย่างพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงรักมากกว่าใคร ๆ จึงทรงให้พระบุตรพบเจอกับความทุกข์ทรมาน...."  คุณพ่อสอนผมอีกว่า  "...อย่าคิดถึงพระแค่เวลาที่มีความทุกข์  แต่ในเวลาที่มีความสุขด้วยเช่นกัน  ดังนั้น ไม่ว่าเวลาสุขหรือทุกข์ จงคิดถึงพระอยู่เสมอ ว่าพระอยู่กับเราตลอดเวลา..."  คำสอนสองข้อที่ผมจำขึ้นใจไม่มีวันลืม  ผมจะสำนึกเสมอว่า เพราะพระองค์รักผมมาก จึงโปรดให้ผมจำเป็นต้องผ่านบททดสอบที่ยากลำบาก ความทุกข์รอคอยผมอยู่ในภายหน้า  แต่ไม่ว่าชีวิตจะพบเจอสุขหรือทุกข์  ผมมั่นใจได้ว่า "พระเจ้าทรงรักและอยู่เคียงข้างผม...เสมอไป"  ขอบคุณครับคุณพ่อ!!!


วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

เริ่มต้นที่ตรงนี้

สวัสดีครับ  เพื่อน ๆ ที่รัก
หลายคนมองว่า..ชีวิตคือการเดินทาง..เช่นเดียวกับผม
ชีวิตคือการเดินทาง..
การเดินทางพอกพูนประสบการณ์การใช้ชีวิตให้กับเรา
ประสบการณ์ที่หลากหลายเติมเต็มช่องโหว่ของชีวิตเป็นระยะ ๆ
ผมดีใจและตื่นเต้นที่มีโอกาสได้บันทึกเรื่องราวการเดินทาง
ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต
แม้ในความธรรมดาที่สุด ณ ช่วงเวลาหนึ่ง
ในซอก ๆ หนึ่งบนโลก


แม้ว่าคนเรามักเลือกบันทึกเฉพาะช่วงเวลาที่น่าประทับใจ
แต่ในความประทับใจนั้น อาจมาจากทั้งความเรียบง่าย
ความตื่นเต้นหวาดเสียว ความผิดพลาดบกพร่อง
ความสำเร็จหรือความล้มเหลว
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น
ก็ผสานคลุกเคล้าให้ชีวิต..ได้เป็นชีวิต


                                                    
ปิติศักดิ์  พงศ์จิรพันธุ์
21 มกราคม 2012